อินเดียใต้ต้นไม้ - เรื่องเล่าของสาวไทยจากพื้นที่สีเขียวบนผืนชมภูทวีป
"สาระของ ศานตินิเกตัน ในเล่ม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชอบปลอบใจผู้อื่นว่า “เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน” และก็เหมาะกับคนที่ยึดติดว่า การเรียนรู้มีไว้เฉพาะในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงหรือค่าเล่าเรียนแพงๆ “ศานตินิเกตัน” สะกิดเตือนว่า “เรียนที่ไหน” ไม่เท่า “เรียนแบบไหน”
สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาเขียนถึงหนังสือเล่มนึง ที่มีอิทธิพลกับตัวเรามากในช่วงวัย 20 ปี ต้นๆ
หลายครั้งที่เราอ่านหนังสือเพื่อให้ได้ความรู้ หรือโลกทัศน์อะไรสักอย่าง แต่หนังสือเล่มนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เป็น a book of life หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตเรา แต่จะเรียกว่าเปลี่ยนก็ไม่ถูกนัก มันเหมือนเราค้นพบที่ทางและความสุขของตัวเองจากหนังสือเล่มนี้มากกว่าค่ะ
"อินเดียใต้ต้นไม้" ให้ความสุขภายในใจของเรา แบบหยั่งรากลึก เราค้นพบความพึงพอใจในชีวิตจากหนังสือบางๆ เพียงเล่มเดียว ที่เผอิญไปค้นเจอในกองมือสองเก่าในสมัยที่จามจุรีสแควร์ยังมีร้านหนังสืออยู่ใต้ดิน จำได้ว่าวันนั้นเราหลงทางมากค่ะ หลงทั้งข้างนอก และหลงทั้งข้างในตัวเอง
สำหรับเรา หนังสือเล่มนี้ให้ความอิ่มเอิบเบาสบายเหมือนอยู่บนปุยเมฆ เหมือนเราได้ค้นพบว่าเราเป็นคนแบบไหน และต้องการอะไรในชีวิต หนังสือเล่มนี้ นำเราไปสู่การหาหนังสือที่คล้ายๆ กัน เล่มอื่นๆ มาอ่านอีกมากมายค่ะ ทำให้เราสนใจเรื่องความสุข เรื่องการศึกษาทางเลือก โดยเอาผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และการสร้างสุนทรียะให้กับชีวิตประจำวัน
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย “ศรา-ดีดี้” (ดีดี้แปลว่าพี่สาว) นักศึกษาสาขาศิลปะ (กลา-ภวัน) ของสถาบันในฝันของคนสายศิลปะ และการศึกษาที่รักความเรียบง่าย และหลงไหลในแนวคิดของ "รพินทรนาถ ฐากูร" มหาวิทยาลัยนี้ชื่อว่า "วิศวะภารตี" ที่คนส่วนใหญ่เรียกติดปากว่า มหา’ลัย ศานตินิเกตัน เป็นพื้นที่ใหญ่ๆ อุดมไปด้วยร่มไม้ พื้นดิน และโรงมหรสพ แฝงตัวกลมกลืนอยู่กับวิถีชาวบ้านและชุมชน นอกจากมหาวิทยาลัย ยังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนใต้ร่มไม้สำหรับเด็กๆ ในชุมชน ที่ไม่มีการแบ่งแยกวรรณะใดๆ ทั้งสิ้น ทุกคนมีสิทธิ์ได้เล่าเรียน และเข้าถึงการศึกษาอย่างทั่วถึง
มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองเล็กๆ ไม่ห่างจากตัวเมืองกัลกัตตามากนัก แต่ต้องเป็นคนที่ "ตั้งใจมา" เท่านั้น เพราะไม่ใช่ทางผ่านไปสู่ Route ท่องเที่ยวใดๆ
ศานตินิเกตัน เป็นเมืองแสนสงบ มีบุคลิกเฉพาะที่เค้าเรียกว่า "เมืองของคนมีการศึกษา" คนแต่งตัวดี มีมารยาท อากาศก็ดี ขอทานก็น้อย ไม่หวือหวา แต่ว่าน่าอภิรมย์
แต่ต้องบอกก่อนว่า อย่าได้หลงผิด มา "ศานตินิเกตัน" ไม่เท่ากับมา "อินเดีย" จงอย่าใจอ่อนและชะล่าใจกับอินเดียที่เหลือ เพราะที่คนที่เคยได้ไป ล้วนบอกว่าที่นี่มันยูโทเปียชัดๆ รู้จักศานตินิเกตัน ไม่ได้หมายความว่ารู้จัก “อินเดีย” ผู้เขียนเตือนไว้อย่างนั้น
การรู้จัก “อินเดีย” และ “ศานตินิเกตัน” ผ่านบันทึกของนักเดินทางท่องเที่ยวมันก็สนุกและตื่นเต้นดี ในค่าที่มันให้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ใจเต้นตึกตัก
แต่การได้รู้จักอินเดียผ่านมุมมองของคนที่มาอยู่ และ “ใช้ชีวิต” ร่วมกับคนที่นี่จริงๆ แม้จะไม่ได้ตื่นเต้นหวือหวา แต่กลับให้อะไรที่หยั่งลึกกว่า แน่นอนว่า ถึงผู้เขียนจะอยู่อินเดียมานาน และเทียวมา เทียวไปในหลายภูมิภาค ซึ่งเธอจะหยิบยกเอาความเก๋าในฐานะของคนที่อยู่มานานมา "ขิง" เราซะก็ได้ แต่ ศรา-ดีดี้ กลับเลือกเล่าเรื่องผ่านมุมมองของผู้สังเกตการณ์ มากกว่าจะอวดอ้าง หรือตัดสินภาพตรงหน้าโดยทัศนคติส่วนตัวใดๆ.
และถ้านี่ คือหนึ่งในหัวใจหลักของการศึกษาของ “โรงเรียนใต้ร่มไม้ ที่ถูกวางรากฐานโดย กวีเอก อย่างรพินทรนาถ ฐากูร "เรียนรู้ให้รอบ อย่างถ่อนตน กลมกลืน เปิดกว้าง และไม่ตัดสิน" ก็ถือว่าผู้เขียน ก็ถ่ายทอดหลักการที่ว่ามาผ่านตัวหนังสือได้อย่างงดงาม เปิดกว้าง และถ่อมตนอย่างถึงที่สุด
เธอเขียนออกมาได้อย่างเรียบง่ายเหลือเกิน วิถีชีวิต บทสนทนาต่างๆ วัฒนธรรมประเพณี เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแบบคนในพื้นที่ หรือแม้กระทั่งการบอกเล่ากิจวัตรของคนเมืองแขกที่เธออยู่กับมันได้อย่างกลมกลืน มันปรากฎชัดว่าเธอหลงรักดินแดนแห่งนี้เสียเหลือเกิน
มาแจ่มชัดมาก จนผู้อ่านอย่างเรารู้สึกรักไปด้วย และอยากจะเปิดว๊าบเพื่อไปอยู่ตรงนั้นกับเธอ จนอดสงสัยไม่ได้ ว่าเธอเป็นคนมองโลกในแง่ดีเกินไปหรือเปล่านะ
หรือเป็นเราเอง ที่มองโลกในแง่ร้าย
น่าเสียดายเหมือนกันที่ "ศรา" เลือกเล่าถึงเรื่องราวการเป็นนักศึกษาคณะศิลปะของที่ ศานตินิเกตัน แค่เพียงเล็กน้อย เพราะด้วยเข้าใจดีว่า ผู้อ่านของเธอนั้นหลากหลาย และไม่ใช่ทุกคนที่จะอยากรู้ หรือสนใจในสถาบันการศึกษาทางเลือกแบบที่เธอเรียนอยู่นี้
แต่เธอเลือกแบ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ บนหน้ากระดาษหนังสือ ให้ทำหน้าที่เหมือนภาพวาด ที่วาดด้วยตัวหนังสือที่พลิ้วไหวละมุนละไมของเธอเอง ไว้เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของคนรอบๆ ตัว ทั้งเพื่อนร่วมสถาบัน ร่วมเมือง หรือแม้กระทั่งชีวิตของเด็กตัวเล็กๆ อีกหลายๆ คนที่มักถูกเล่าอย่างข้ามๆ ผ่านๆ ในหนังสือเดินทางเล่มอื่นๆ - เพราะทุกคนล้วนมีชื่อให้จดจำ และมีชีวิตเป็นของตนเอง
ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนเติบโต และใช้ชีวิตในเมืองแห่งการศึกษาทางเลือกที่วางระบบไว้เพื่อ “ทุกคนในเมือง"
ที่เมืองแห่งนี้ เด็กนักเรียนเรียนหนังสือกันกลางแจ้ง และวิ่งเล่นอย่างอิสระ
หากแดดร้อนหน่อยก็หลบมาเรียนกันใต้ร่มไม้ ไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ มีเพียงพื้นดิน ร่มไม้ สายลม และแสงสว่างจากดวงอาทิตย์
ครูและนักเรียนนั่งพื้นในระดับเดียวกัน ครูถาม-นักเรียนตอบ นักเรียนถาม-ครูตอบ สลับกันไป
เด็กๆ พูดคุย ส่งเสียงเจื้อยแจ้วตลอดคาบเรียน ไม่มีเขินอาย
แม้แต่ในระดับปริญญา ก็ไม่มีวิชาทฤษฎี แลคเชอร์ใดๆ มีเพียงเวลา และพื้นที่ ให้นักเรียนได้เลือกจัดสรร ใช้สอย และตักตวงความรู้ ตามความสนใจ ผ่านการลงมือทำ สิ่งที่มหาวิทยามีให้พร้อมสรรพ ก็คือเครื่องไม้เครื่องมือ และบรรยากาศ ที่ “เหมาะอย่างยิ่ง” กับการสร้างงาน วัดผลกันทีก็ที่วันนำเสนอโปรเจคปลายปี เรียนจบก็รับปริญญาเป็น "ใบไม้" กันไป เพราะธรรมชาติ คืออาจารย์ใหญ่ของที่นี่
ศานตินิเกตัน มีโรงมหรสพขนาดใหญ่ ติดแอร์เย็นฉ่ำ ไว้ให้คนทั้งเมืองเข้ามาเสพศิลปะได้ฟรี ฝนจะตก แดดจะออกไม่เป็นไร ชาวบ้านต้องมีที่ไว้ดู "ละคอน" ดีๆ
ถ้าจะอยู่เมืองนี้ ทุกคนต้องมีสุนทรียะในหัวใจ ซึ่งก็ไม่ยาก อยู่ๆ ไปมันก็จะแทรกอยู่ไปทุกจังหวะของชีวิต
หรือต่อให้คุณไม่ค่อยอะไรกับมันมาก่อน เมื่อมาอยู่ที่นี่ไปสักพัก คุณจะเคยชินกับบรรยากาศที่รายรอบไปด้วยศิลปินไปเอง
แม้แต่คุณยายข้างบ้าน ก็วาดรูปได้
แม้แต่เด็กน้อยปลายทุ่ง ก็รู้จักงานศิลปะอย่างการร้อยกำไลเม็ดแตงโม และประดิษฐ์ตุ๊กตา
เพราะคนที่นี่เชื่อว่า ชีวิตที่รื่นรมย์ คือชีวิตที่คลุกคลีกับศิลปะ ไม่ใช่การหาเงินอย่างเอาเป็นเอาตาย
ตื่นแต่เช้าตรู่ ยิ้มรับพลังจักรวาล แล้วออกไปร่ำเรียน ประกอบสัมมาอาชีพกัน พอตกบ่ายๆ ปิดบ้านเงียบ เข้าห้องนอนกลางวัน ตื่นมาอีกทีก็เย็นเกือบค่ำ ออกไปสมาคม หรือเดินตลาดซื้อข้าวของหุงหาอาหาร กว่าจะได้กินข้าว ปาไปเกือบทกทุ่มเที่ยงคืน แล้วเข้านอน
ยังไม่นับรวม ความบันเทิง ที่โรงเรียนจัดหามาให้ชาวเมืองตลอดทั้งปี
วันนี้มีดนตรี พรุ่งนี้มีละคร มะรืนมี Workshop
นี่มันดินแดนแห่งความรื่นรมย์โดยแท้
ออกตัวก่อนว่า เราเป็นคนที่ชื่นชอบอินเดียจนถึงขั้นคลั่งไคล้ อะไรที่เป็นอินเดีย ฉันใคร่รู้ ใคร่อ่านหมดทุกอย่าง แม้กระทั่งเดินทางไปสัมผัสอินเดียมาแล้วก็เคย
พอเจอเรื่องดีก็มาก เรื่องแย่ก็มาก แต่ก็ยังไม่เคยหมดรัก
จากที่เคยมองอินเดียในแง่มุมของ “ความชอบในฐานะนักท่องเที่ยว” หนังสือเล่มนี้จุดประกายใหม่ให้กับฉันตั้งแต่วัย 20 ต้นๆ ว่า ไม่ใช่แค่เที่ยว แต่ “อยากไปอยู่บ้างสักปีสองปี” หรือ “ถ้าได้เรียนต่อที่นี่จะเป็นบุญมาก”
จนถึงตอนนี้ ในวัย 30 ฉันตัดสินใจวางแผนหงุดงานสักพัก เพื่อออกเดินทางตามหมุดหมายของชีวิต หวังไว้ว่าจะไปใช้ชีวิตช่วงหนึ่งที่ดารัมชาลา (ธรรมศาลา) และอีกช่วงหนึ่งอยากหย่อนชีพจรลงที่ศานตินิเกตัน
แต่เพราะโควิดมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่มีใครได้ตั้งตัว
ฉันยังไม่ได้ไป...
หากใครเคยมีประสบการณ์ในดินแดนแห่งนี้ แบ่งปันทีนะคะ ถือว่าช่วยชุบชูใจให้คนอกหักอย่างเราด้วย จะถือเป็นพระคุณ :)
ชื่อหนังสือ : Santiniketan อินเดียใต้ต้นไม้
ผู้เขียน : ศราดีดี้
สำนักพิมพ์ : a book
ราคาปก : 185 บาท
______________________________________________________________
รีวิวหนังสือ / Book Review / หนังสือบันทึกการเดินทาง / สำนักพิมพ์อะบุ๊ค / อินเดียใต้ต้นไม้ / รพินทรนาถ ฐากูร / หนังสือท่องเที่ยว
Commentaires