แวะมารีวิวหนังสือบางๆ เล่มนึงค่ะ. บางแต่อ่านได้ช้าเหลือเกิน
I Called Him Necktie
เป็นหนังสือเล่มบาง แต่หนักอึ้งทางความรู้สึก
หนักอิ้งในแง่มุมที่ว่า ...
เมื่อได้อ่านแล้ว อาจทำให้ ผู้ที่หัวใจป่วยไข้ อาจสะเทือนหัวใจขึ้นไปอีก
หรือบางคน อาจทุเลาเบาใจลง ด้วยรู้สึกมีคนข้างเคียง
หรืออาจกระทั่ง คนที่ไม่เคยพิจารณาความป่วยไข้ในหัวใจตนเองมาก่อน เมื่อได้อ่านเล่มนี้ไปเพียงครึ่งเล่ม อาจเริ่มมองเห็นเค้ารางของมันที่ปรากฏในตนเองอย่างเงียบๆ ขึ้นมาบ้าง
และ/หรือ ใช้เพื่อเตือนตัวเองว่าอย่าไปสร้างบาดแผลให้ใครอื่นอีก
เราว่า นี่เป็นหนังสือที่กระตุ้นความเปราะบางของหัวใจ หรือแม้กระทั่ง กระตุ้นอาการแตกร้าวภายในให้ปรากฏชัดแจ้งขึ้นก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน เพราะเมื่อเรารับรู้การมีอยู่ของบาดแผลแล้ว เราจะเข้าใจ และรับมือกับมันได้ดีขึ้นค่ะ
หนังสือเล่มนี้เล่าด้วยมุมมองของ เด็กหนุ่มวัยประมาณ 24 ปี ที่มีอาการที่เรียกว่า ฮิกิโกะโมริ
(ฮิกิโกะโมริ เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงเยาวชนญี่ปุ่นที่ปฏิเสธการออกไปจากบ้านพ่อแม่ และเลือกที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องส่วนตัว และลดการพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยเฉพาะคนในครอบครัวตัวเองให้เหลือน้อยที่สุด บางคนไม่แม้แต่จะก้าวเท้าออกมาจากห้องเป็นปีๆ และจากการสำรวจของญี่ปุ่นเอง พบว่าบางคนอาจใช้เวลาถึง 15 ปี หรือมากกว่านั้นในการขังตัวเองอยู่ในห้อง สาเหตุหลักๆ ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เชื่อว่า มาจากแรงกดดันอันมหาศาลที่คาดหวังให้เด็กๆ ต้องเรียนให้ดี และมีชีวิตเป็นไปตามครรลองกฏระเบียบของสังคม)
ไม่ต่างจาก "ฮิกิโกะโมริ" คนอื่นๆ เด็กหนุ่มขังตัวเองอยู่ในห้องมาแล้วหลายปี ตัดขาดจากโรงเรียน ตัดขาดจากเพื่อนฝูง และตัดขาดแม้กับพ่อแม่ของตนเอง แม้จะยังอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันก็ตาม แต่ก็ไม่เคยออกไปเจอหน้ากัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มหลบเร้นชีวิตเข้าไปอยู่ในห้อง มีเพียงเฉพาะเวลากลางคืนที่เด็กหนุ่มอาศัยจังหวะที่พ่อแม่เข้านอนแล้ว ย่องแอบลงมาคุ้ยหาของกินในตู้เย็น หรือช่วงกลางวันหลังจากทุกคนออกไปทำงาน ที่เด็กหนุ่มจะเร้นกายออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน ซึ่งก็ไม่ได้ไปที่ไหนไกลกว่า สวนสาธารณะ
เป็นเวลาหลายปี นับตั้งแต่วันที่เพื่อนรักเพียงคนเดียว ตัดสินใจลาโลกไป แต่เด็กหนุ่มยังมีอาการคลื่นเหียนทุกครั้งที่ออกมาสูดอากาศข้างนอกแล้วเผอิญเห็นใครขยับปากพูดคุย ขบเคี้ยว หรือจ้องมองมาที่เขา ราวกับทุกเสียง ทุกอากัปกิริยาของคนเหล่านั้น มันจะสามารถบดขยี้ร่างของเขาให้แหลกสลายลงไปจากการจ้องมอง. แต่ไม่ใช่กับลุงพนักงานบริษัทคนนี้ ที่เขาเจอในสวนสาธารณะ จนกระทั่งตัดสินใจเอ่ยทักออกไป
ในหนังสือเล่มนี้ จะค่อยๆ เปิดเผยเนื้อหา และเหตุผลที่ทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจเลือกที่จะเป็น ฮิกิโกะโมริ ทีละนิด ทีละนิด ผ่านบทสนทนาเปิดเปลือยชีวิต ที่เด็กหนุ่มแลกเปลี่ยนกับชายแปลกหน้าวัยใกล้เกษียณในชุดพนักงานออฟฟิศเต็มยศที่เขาพบเจอเป็นประจำที่สวนสาธารณะ คุณลุงมาที่นี่ทุกวัน ตั้งแต่จันทร์ - ศุกร์ พร้อมกล่องข้าวกลางวัน และหลังจากกินข้าวเสร็จ ก็จะนั่งงีบยาวจนเย็น..แล้วกลับบ้าน
ซึ่งชีวิตของชายคนนี้ก็น่าสนใจ และดูจะเชี่ยวกรำไปด้วยบาดแผลที่มองไม่เห็นเช่นเดียวกับเด็กหนุ่ม ตลอดทั้งเรื่อง เราจะรู้จักเขาในชื่อ "คุณเน็กไท" ซึ่งเป็นชื่อที่เด็กหนุ่มแอบตั้งให้ เราจะค่อยๆ ทำความรู้จักคุณลุงเน็กไท ผ่านทางบทสนทนา และคำถาม ของเด็กหนุ่ม จนเราค่อยๆ ค้นพบว่า ภายใต้ชุดทำงานโก้หรูที่สวมอยู่ทุกวัน แต่เขากลับไม่มีงานให้ทำอีกต่อไปแล้ว
หากให้สรุปย่อ โดยไม่เปิดเผยเนื้อหามากเกินไป คงต้องบอกว่า ผมเรียกเขาว่าเน็กไท เป็นเรื่องเล่าของคนไม่สมบูรณ์แบบสองคน ที่บังเอิญมาพบเจอกันในที่ที่ตนเองไม่สมควรอยู่ ในวันและโอกาส ที่ไม่น่าจะเจอกันได้ จนก่อเกิดเป็นการแบ่งปันบาดแผลทางใจ ผ่านบทสนทนาที่ไม่มีวันพรุ่งนี้
ในวันที่ชีวิตเหนื่อยล้า จ่อมจมกับความพ่ายแพ้ เขาทั้งสองพยายามกระเสือกกระสน หากแต่ไม่ใช่เพื่อเข้าสู่แสงสว่าง แต่เพื่อหนีห่างจากมันให้ไกลที่สุด ทั้งคุณเน็กไทและเด็กหนุ่มพยายามอย่างสุดกำลัง ที่จะหลบเร้นซุกซ่อนอำพรางตนไม่ให้เป็นจุดสังเกต ไม่ให้คนรอบตัวพบเห็นการมีอยู่ของเขา ด้วยรู้สึกว่า การถูกจ้องมองตัดสินจากโลกภายนอกนั้น ช่างโหดร้าย ทารุณ และน่าสะอิดสะเอียนเหลือทน
อาจกล่าวได้ว่า เล่มนี้ พยายามใช้ทุกหน้ากระดาษ อันบางเบา เพื่อถ่ายทอดความหนักอึ้งของชีวิต
บอกเล่าโศกนาฏกรรมส่วนตัวของคนธรรมดา โดยที่เป้าหมายอาจไม่ใช่เพื่อการแก้ไข
หรือแม้แต่ก้าวข้ามรอบด่างในชีวิตตนเอง
แต่คือการอยู่ร่วมกับมันให้ได้ และต้องอยู่ให้รอด
เพราะชีวิต ต่อให้ไม่สมบูรณ์แบบ ถึงอย่างไร ชีวิตก็ยังเป็นชีวิต
แน่นอนว่า การมีอยู่หรือจากไป ของคนตัวเล็กๆ คนนึง ไม่อาจถึงขั้นส่งผลให้โลกแตกดับ แม้บางตัวละครไม่มีบทสรุปที่ชัดเจน แถมมีความพยายามปั้นแต่งให้สวยหรูเกินจริงในตอนจบ
เรื่องนี้ก็ยังถือว่า เปี่ยมไปด้วยคุณค่า ในแง่ที่ว่า มันช่วยกระตุ้นให้เรารู้สึกรู้สมกับชีวิตในระดับที่หยั่งรากลึกขึ้น มิใช่ด้านชา และจำยอม อย่างที่หลายๆ คนกำลังประสบอยู่
หนังสือเล่มนี้ คงกำลังพยายามบอกกับเราว่า
"เราไม่ควรโยนทั้งชีวิตทิ้ง เพียงเพราะมันบุบสลายเล็กน้อย"
และชีวิตนั้น บ่อยครั้งก็ไม่สมบูรณ์แบบแต่ถึงอย่างนั้น "เราก็จะอยู่กันไปได้"
ใช่...ไม่ต้องดีมากหรอก แค่อยู่กันไปได้ ก็เพียงพอแล้ว
นี่อาจเป็นหนังสือที่ช่วยให้ใครหลายๆ คน ตื่นรู้ทางความ "รู้สึก" เหมือนส่องกระจก แต่เป็นกระจกที่ส่องลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ เพื่อดูว่ามันยังสบายดีอยู่ไหม
เป็นหนังสือร้อยกว่าหน้า ที่เต็มไปด้วยความรู้สึก ความมีหัวจิตหัวใจ ทั้งไร้เดียงสา และพ่ายแพ้ และตื่นรู้
การร้องไห้ที่ไร้เสียง การหัวเราะที่ขื่นขัน และไดอะล็อกที่เงียบงัน น้อยนิด แต่สำคัญ และมัน “จริง” น่าจะเป็นนิยามที่เราให้กับหนังสือเล่มนี้ค่ะ
จากตอนหนึ่งในหนังสือ...
“...ถ้ามีเพียงอย่างเดียวที่ฉันจะสอน ฉันจะบอกเธอว่าอย่าอาย อย่าอายที่จะเป็นคนที่มีความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม จงรู้สึกมันอย่างลึกซึ้งและด้วยใจที่อ่อนโยน จงรู้สึกมันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยใจที่อ่อนโยนมากขึ้นไปอีก รู้สึกมันเพื่อตัวเธอเอง รู้สึกมันเพื่อคนอื่น แล้วจากนั้น ...จงปล่อยมันไป” (หน้า 112)
สำหรับเรา หนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่หนังสือที่ใช้อ่านฆ่าเวลา
แต่เป็นหนังสือที่ต้องใช้ "เวลา "ใจ" และ "ความรู้สึกรู้สา" ในการละเลียดอ่าน
และขณะเดียวกัน ก็อยากแนะนำให้หยุดพักอ่านเป็นระยะ
หรือหากอยากจะนอนลงแนบพื้นและ "ปล่อยให้น้ำตาไหลเปียกชุ่ม" ดูบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องน่าละอายอะไร
เพราะ "น้ำตา" บางครั้งควรมีไว้บ้างเพื่อปลดปล่อยให้ใจได้ชำระล้าง
มันไม่ใช่ผลลัพธ์ของความพ่ายแพ้แตกสลายเสมอไป
ผู้เขียน : Milena Michiko Flasar
ผู้แปล : สิริยากร พุกกะเวส มาร์ควอร์ท
สำนักพิมพ์ : Marry Go Round Publishing
ราคาปก : 220 บาท
______________________________________________________________
รีวิวหนังสือ / Book Review / หนังสือจิตวิทยา / วรรณกรรมแปล / สำนักพิมพ์แมรี่โกราวด์
Comments