Maybe You Should Talk to Someone (ชื่อไทย: เพราะนี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยาไม่เคยบอก)
เพราะบางปัญหา มันก็ต้องอาศัยตาที่สามมาช่วยมอง.
อย่าปล่อยให้มันอีรุงตุงนังจนพังชีวิตที่ควรสงบสุขของคุณได้
ว่าแต่ในนี้มีใครต้องการ “กระจกส่องใจ” บ้างมั้ยคะ?
เรื่องนี้เขียนโดยนักจิตบำบัด (***ผู้ชำนาญการในการบำบัดและรักษาอาการทางจิต ซึ่งอาจจะเป็นจิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยาคลินิกก็ได้) เมื่อเทียบกับหนังสือที่เขียนโดยนักจิตวิทยาหรือนักจิตบำบัดเรื่องอื่นๆ เราว่าเรื่องนี้อ่านสนุก เข้าขั้นบันเทิง และการลำดับเรื่องมีชั้นเชิงพอสมควร เพราะผู้เขียน นางมี Background เป็น “ผู้ช่วยด้านบทภาพยนต์” มาก่อน เพราะฉะนั้น เรื่องวิธีการเขียนจะเซอร์ไพรส์เรามากค่ะ
การเขียนเป็นแบบ Memoir ที่ถูกเอามายำแล้วเรียงลำดับเวลาการเล่าใหม่. ผู้อ่านจะได้รู้จักตัวละครในแต่ละเคสที่เล่าสลับกันไปมา และไม่เฉลยปม จนเกือบจบเล่ม ซึ่งวิธีเล่าแบบนี้จะทำให้เราค่อยๆเติบโต และเรียนรู้การเยียวยาบาดแผลไปพร้อมๆ กับพวกเขา คิดว่าถ้าผู้เขียนเธอไปต่อในสายงานเขียนบทภาพยนต์ยังไงก็รุ่ง แต่เอาเถอะค่ะ ตอนนี้เธอมาตกหลุมรักอาชีพใหม่เรียบร้อยแล้ว ในฐานะนักจิตบำบัด และเธอก็แสดงออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ ว่าไม่มีใครแก่เกินเรียน เธอเข้าเรียนแพทย์ตอนอายุ 28 และผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็น เธอประสบความสำเร็จและไปได้สวยกับอาชีพใหม่นี้ (เธอเล่าเส้นทางการพลิกชีวิตเอาไว้ในเล่มนี้ด้วยค่ะ)
เนื้อหาดำเนินไปด้วยภาพเหตุการณ์และบทสนทนาในห้องบำบัดของเธอเป็นส่วนใหญ่ มีผู้เข้ารับคำปรึกษาหลายเคสด้วยกัน ที่ตัดสลับกันไปมาไม่ได้เรียง timeline ชัดเจน และที่น่าสนใจไปกว่านั้น ในจำนวนเคสสนุกๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเรื่อง ตัวผู้เขียน (ซึ่งขอเรียกชื่อเธอว่า คุณ Lori) ก็คือหนึ่งในคนที่เข้ารับการบำบัดด้วยในฐานะผู้ป่วยทางใจ. คุณอาจจะไม่อยากเชื่อ แต่เธอป่วยเป็นไข้ใจ ...เธอ...อกหัก ค่ะ
ใช่ค่ะ แม้แต่นักจิตบำบัดเอง เมื่อพบเจอปัญหา แม้พยายามเยียวยาตัวเองแล้วก็ไม่ประสบผล เธอก็ Need to talk to Someone เหมือนกัน และนี้ก็คือ“สิ่งที่นักจิตวิทยาส่วนใหญ่ไม่เคยบอก”หรือเล่าให้คนไข้ฟัง เพราะมันมีผลต่อความน่าเชื่อถือ
ซึ่งในเรื่องนี้ คุณโลริ เธอจะเล่าถึงปัญหาในชีวิตเธอที่นำพาความยุ่งยากใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จนนำไปสู่การตัดสินใจเข้าบำบัดกับ “นักจิตบำบัดเก่งๆสักคน” ที่ท้ายที่สุด เขาได้กลายเป็นกระจกที่พาเธอไปค้นพบ “บาดแผลในใจที่ซ่อนอยู่” และรอวันสมานแผลเพื่อคลี่คลายชีวิต. ปัญหาที่อยู่ใต้จมูกเราแท้ๆ แต่เราแกล้งมองข้ามมันมาตลอด จนมันกระทบกับชีวิตเรามากกว่าที่คิด และ “ระเบิดออกมา”
ก่อนอื่นผู้อ่านต้องตระหนักก่อนนะคะว่า ไม่มีบาดแผลไหนที่จะรักษาได้ ถ้าคุณไม่ยอมรับก่อนว่านั่นคือบาดแผลของคุณจริงๆ นั่นหมายความว่าก่อนรักษา คุณต้องยอมรับว่า “คุณเจ็บ” อย่างไม่ปิดบังเสียก่อน เพราะไม่เช่นนั้น หมอจะรักษาถูกจุดได้ยังไงกันเล่า.
กับบาดแผลทางใจ การยอมรับการมีอยู่ของมัน เพื่อสมานแผล และเดินหน้าต่อ. มีพลังกว่าการแกล้งลืม และกดมันไว้ลึกสุดใจ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่มีกิ่งไม้หรือลวดหนามไปสะกิดมัน แผลมันจะใหญ่และเจ็บปวดรุนแรงกว่าเดิม
หนังสือเล่มนี้กำลังบอกเรา (อย่างอ้อมๆ) ว่า
“จงยอมรับ เผชิญหน้า เพื่อเรียนรู้ และก้าวเดิน”
บ่อยครั้งกับปัญหาที่เราเผชิญอยู่ แม้เราจะเหมือนต่อสู้กับมันเพียงลำพังอย่างขื่นขม แต่กลับมีคนได้รับผลกระทบร่วมด้วยมากมาย
คุณคิดว่าความเจ็บปวดมีพลังรุนแรงแค่ไหนกัน? บางครั้งทำลายแค่คุณ แต่บางครั้งก็ผลักไสคนที่รักคุณออกไปด้วย
จริงๆ โดยเนื้อแท้แล้วคุณอาจจะเป็นคนน่ารัก.
แต่เป็นคนน่ารักในเวอร์ชั่นที่เจ็บปวดทางใจอยู่หรือเปล่าคะ?
คุณเผลอทำร้ายใครไปกี่คนแล้ว เพื่อระบายความเจ็บปวดของคุณ เคยนับบ้างหรือเปล่า (นึกถึงตอนเป็นนักศึกษา อาจารย์เรามักพูดบ่อยๆถึงคำว่า Hurt people hurt people)
- คุณจะเรียนรู้เรื่องนี้ไปพร้อมๆกันกับ John คนไข้ของ Lori
ถ้าคุณกำลังมีชีวิตที่ดี. มีคนรักที่ดี. ทุกอย่างกำลังไปด้วยดี. แต่ความจริงข้อถัดไปก็คือ คุณกำลังจะตายด้วยโรคร้ายที่มาทักทายแบบกระทันหัน. คุณจะรับมือกับวันเวลาที่เหลือให้กับตัวเอง และคนที่คุณต้องทิ้งไว้ข้างหลังอย่างไรคะ? Julie เลือกทำในสิ่งที่เคยฝันมาตลอด คือการเป็น “แคชเชียร์ร้านสะดวกซื้อที่มีความสุขที่สุดในโลก” และ “เขียนโปรไฟล์เพื่อหาคนรักใหม่ให้สามี” เพื่อให้เขาไม่ต้องอยู่อย่างเดียวดายหลังจากที่เธอจากไป. เธอเลือกที่จะยอมรับ ร้องไห้สุดเสียง. โอบกอด และดื่มด่ำกับวันเวลาที่เหลือค่ะ
อ่านรีวิวดูเหมือนจะดราม่าใช่มั้ยคะ. แต่จริงๆแล้วเรื่องนี้อ่านสนุกมากค่ะ. ผู้เขียนเก่งมาก ที่เล่าเรื่องจริงให้ดูเหมือนนิยายได้ พอเนื้อหาไม่ดึงให้ดูเศร้า หรือดูเรียลเกินไป (ทั้งๆที่ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง) เราจึงมีสติพอที่จะซึมซับ content ที่เธอตั้งใจจะสื่อได้ง่ายขึ้น
คุณจะหลงรักตัวละครในทุกเคสของLori รวมถึงตัวเธอเองด้วย เมื่อต้องไปนั่งเล่าปัญหาของตัวเองในฐานะเคสด้วยเหมือนกัน
นอกจากเรื่องที่จะให้เห็นว่าใครๆก็ทุกข์ได้ทั้งนั้น และใครๆ ก็สามารถผ่านความทุกข์ไปได้เช่นกัน. เรื่องนี้จะทำให้เราเห็น “นักจิตบำบัด” ในฐานะ “มนุษย์” มากขึ้นค่ะ. ว่าเขาร้องไห้ได้ เสียใจเป็น และมีวันประสบกับวันที่ยากลำบาก ไม่ต่างจากเราๆ และนั่นไม่ใช่เรื่องที่ผิด.
เพราะคนเรามักขะมักเขม้นกับการเยียวยาใส่ใจผู้อื่น แต่กลับไม่กล้าส่องกระจกจ้องมองตัวเองเพื่อสะท้อนในมุมที่ไม่น่ามอง เรามักใช้อคติในการจัดการปัญหาของตัวเองเสมอ ทั้งด้วยตั้งใจและไม่ตั้งใจ จึงจำเป็นที่ต้องเปิดใจยอมรับ และขอความช่วยเหลือบ้าง
อย่าอาย ที่จะเปิดเผยด้านที่อ่อนแอของคุณบ้าง และการยกมือขึ้นเพื่อขอความช่วยเหลือในบางโอกาส ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
Maybe You Should Talk to Someone บ้างนะคะ..ว่ามั้ย
____________________________________________________________
รีวิวหนังสือ / Book Review / หนังสือจิตวิทยา / หนังสือพัฒนาตนเอง
Comments