หนังสือ Best Seller เล่มล่าสุด เล่มนี้เขียนโดย นักเขียนคนดัง เจ้าของผลงาน Eat Pray Love ค่ะ ส่วนตัวเราไม่เคยอ่านเล่มนั้น เคยแต่ดูภาพยนตร์ (และชอบชื่นในแค่ระดับกลางๆ) และพอทราบมาบ้างถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปของเธอ ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ หลังออกหนังสือ Eat Pray Love. และได้รับความนิยมถล่มทลาย
กลับมาที่ Big Magic เล่มนี้ เป็นงานเขียนที่ “ผู้เขียน” ตั้งใจใช้สื่อสารกับตัวเองค่ะ เพื่อสวนกระแสความกลัว ซึ่งเป็นความกลัวชนิดที่นักเขียน หรือศิลปินเบอร์ใหญ่ๆ มักจะมีกัน หลังจากได้สร้างผลงานที่ประสบความสำเร็จมากๆ จนรวยมากๆ เป็นความกลัวที่ว่า งานชิ้นใหม่จะไม่เด่นไม่ดัง เท่างานชิ้นก่อนหน้านี้ และด้วยความกลัวว่าจะเป็นเทวดาตกสวรรค์ หลายๆ คนเลยหยุดสร้างงานไปซะดื้อ ๆ
แต่คุณ Elizabeth Gilbert ชีขอสะบัดบ๊อบใส่ความกลัว แล้วตั้งหน้าตั้งตาเขียนหนังสือต่อไป เหมือนจะตอบโต้ทั้งความกลัวและพวกแมงหวี่แมงวันข้างนอกว่า “ถ้างานใหม่ของฉันจะไม่ดังแล้วยังไง. I don’t care ฉันจะเขียน!!!”
เนื้อหาโดยรวมของหนังสือเรื่อง Big Magic นี้ จะเป็นหนังสือแนวสร้างแรงบันดาลใจ โดยเขียนขึ้นจาก “ประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน” เป็นการแนะนำการใช้ชีวิตแบบ Creative Living ค่ะ แต่ก่อนอื่นขออธิบายเพิ่มเติมก่อนว่า Creative Living ไม่ใช่การใช้ชีวิตแบบอาร์ตติส ใช้ชีวิตแบบชิคๆคูลๆ อะไรนะคะ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงรสนิยมค่ะ
แต่หมายถึงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ “ความฝัน” อย่างไม่เพ้อฝัน คุณจะฝันอยากเป็นอะไรก็ได้ นักวิ่ง นักปีนเขา พ่อครัว อยากเปิดร้าน นักดนตรี นักเขียน ฯลฯ อะไรก็ได้. ขอเพียงแค่คุณแบ่งเวลามาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเพื่อตัวคุณเอง
การดำเนินเรื่องหลัก มาจากเรื่องที่ใกล้ตัวผู้เขียนที่สุด คือ นางมีความฝันมาตั้งแต่เด็กว่าจะเป็น “นักเขียน” ค่ะ แต่ไม่ได้หมายความว่าฝันว่าจะเป็นอาชีพ จะให้ “งานเขียน” มาหล่อเลี้ยงชีวิตของเธอนะคะ. แต่เธอได้ทำสัญญากับตัวเองตั้งแต่อายุ 16 ว่า ฉันจะเป็นนักเขียน แค่เพราะอยากเป็นนักเขียน เพราะการเขียนมันทำให้เธอมีความสุข และมันจะเป็น Creative Living ของเธอไปจนวันตาย
ทำได้ยังไงน่ะหรือ ??
เริ่มที่บทแรก. ที่จะมาตบหน้าคุณแบบเบาๆ ให้ชาพอเห็นเลือดฝาด
ไม่แน่ใจว่าหลายๆคนในที่นี้ เคยบ่นกับตัวเอง และทั้งใครต่อใคร ว่าอยากเป็นนู่น เป็นนี่ ทำนู่นทำนี่ แต่ไม่ได้ลงมือทำเสียทีบ้างมั้ยคะ
คนสาวนใหญ่มักมีข้ออ้างที่จะไม่ได้ทำสิ่งที่เราอยากทำด้วยสาเหตุหลักๆ เพราะความ “กลัว”
- กลัวว่าจะเสียเวลาเปล่า
- กลัวว่าจะมีคนเคยทำแล้ว
- กลัวว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ
-กลัวเพราะไม่มีเงิน
กลัว กลัว กลัว กลัวนั่น กลัวนี่ จนไม่ได้ทำอะไรเสียที
ไม่ทำ ....แต่ก็เฝ้าจินตนาการถึงมันอยู่นั่น
หนังสือเล่มนี้จะบอกคุณว่า.
“เลิกบ่นเสียทีเถอะ ไม่ใช่ความผิดของโลกที่คุณอยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ ไม่ใช่หน้าที่ของโลกที่จะต้องชอบผลงานของคุณ และโลกก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับความฝันของคุณด้วย ไม่มีใครอยากฟังคุณบ่นหรอก หยุดโอดครวญและลงมือทำได้แล้ว”
เริ่มกันตั้งแต่บทแรก ที่จะสั่งให้คุณโต้กลับตัวเอง เวลาที่กำลังสงสัยว่า ฉันจะทำสิ่งนี้ดีไหม ฉันจะทำได้หรือเปล่า เริ่มจากคำถามง่ายๆ ยังไม่ต้องคิดไปไกลแค่ถามตัวเองกลับไปในใจดังๆ ว่า
“แล้วกล้ามั้ยล่ะ”
เพราะถ้าคุณไม่กล้าแม้แต่จะแบ่งภาคของตัวเอง ออกไปใช้ชีวิตอย่างที่ใจเรียกร้อง ก็พับแผนการของคุณไปซะเถอะ เปลืองสมอง หรือไม่คุณก็คงไม่ได้รักมันมากพอ ที่จะลงมือทำสักทีใช่มั้ยล่ะ
บ่อยครั้งการหมกมุ่นกับตัวเองเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ (ไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่พอใจในตัวเอง และพยายามปกป้องตัวเองจนเกินเหตุ) คุณก็แค่พูดออกมาดังๆ ประกาศให้ตัวคุณเองตื่น และรู้ตัว และโฟกัสมาที่ตัวเองเสียที เลิกหาข้ออ้าง เลิกมองคนอื่น แล้วบอกว่า “ฉันอยู่ตรงนี้” “ฉันจะทำสิ่งนี้เพราะฉันจะมีความสุขกับมันแน่ๆ”
“แล้วคุณกล้ามั้ยล่ะ?”
ขั้นต่อไป เมื่อตอบรักความ”กล้า” ได้แล้ว ก็มาสู่การลงมือทำ
เธอยกตัวอย่างจากพ่อของเธอ :
“พ่อไม่ได้ออกจากงานเก่าเพื่อไล่ตามความฝัน แต่พ่อพับความฝันให้เล็กพอที่จะแทรกอยู่ในชีวิตประจำวันได้ “
จงอยู่กับความจริง ถ้าความฝันไม่ได้หล่อเลี้ยงคุณ ก็ไม่เห็นเป็นไร ก็ทำงานของคุณต่อไป แค่แบ่งเวลาออกมาบ้างก็พอ
“อย่ากดดันตัวเองขนาดนั้น. หางานทำเสียสิ”. นี่น่าจะเป็นประโยคที่บอกให้คุณประนีประนอมกับความฝันได้จริงจัง และจริงใจที่สุด.
คุณไม่จำเป็นต้องทิ้งความฝัน และก็ไม่จำเป็นต้องเสียสละความมั่นคงของชีวิต คุณอยู่กับมันทั้งคู่ได้. เชื่อเถอะ
สำหรับความฝัน :
แค่ทำอะไรสักอย่างเพื่อความสุขของตัวเองก็เพียงพอแล้ว ต่อให้งานของคุณไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อช่วยเหลือใคร ทำเพื่อเยียวยาคุณคนเดียวก็พอ.
สำหรับความจริง :
การทำงานไม่ใช่เรื่องน่าขายหน้าเลยสักนิด สิ่งที่น่าขายหน้าคือการตะเพิดความฝัน หรืองานอดิเรกของคุณด้วยการบีบบังคับให้มันหาเงินมาเลี้ยงดูคุณต่างหาก
มีหลายคนที่กำลังเคร่งเครียดกับการไล่ตามความฝัน และมองว่ามันเหน็ดเหนื่อยจนบั่นทอนหัวใจ
ให้ปรับมุมมองใหม่ มองความฝันของคุณเป็นชู้รัก. อย่ามองเป็นภาระ. แต่ให้มองว่ามันเซ็กซี่จะดีกว่า. แล้วหาเวลาสร้างสัมพันธ์กับมันอย่างเร่าร้อน. อย่าบีบคั้น ให้มันเป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตของคุณ
และจงจำไว้ว่า “ทำให้เสร็จ สำคัญกว่าทำให้ดี” บ่อยครั้งที่ลัทธิความสมบูรณ์แบบก็หยุดยั้งตัวคุณเองจากการมีความสุข. อย่าลืมว่า คุณทำเพื่อตัวคุณเอง ไม่ใช่เพื่อใครๆ และคำว่าดีพอ-ไม่ดีพอ ใครล่ะจะวัดได้.
เพราะฉะนั้น แผนการที่ดีที่ลงมือทำตั้งแต่บัดนี้ ย่อมดีกว่าแผนการที่สมบูรณ์แบบแต่จะลงมือทำอาทิตย์หน้า
.........
พูดถึงเนื้อหาโดยรวมของเรื่องนี้กันไปแล้ว มาพูดถึงสไตล์การเขียนกันบ้างดีกว่า
สไตล์งานเขียนมีความเป็นส่วนตัวมากๆ ภาษาสำนวนที่ใช้จะเหมือนเป็นการเขียนบันทึก เป็นการขบคิดกับตัวเองของผู้เขียน มีหลายช่วงหลายตอนที่ใช้วิธียกตัวอย่างประกอบด้วยวิธีการบอกเล่าเหมือนนิยาย สำนวนที่ใช้จะง่ายๆ
หนังสือเว้นจังหวะการเขียนได้ดี อ่านง่าย แบ่งเป็นหัวข้อย่อย ไม่จำเป็นต้องอ่านประติดประต่อกันก็ได้ ไม่เสียอรรถรสค่ะ.
ใครที่กำลังหาวิธีดีล กับ Creative Living ของตัวเองอยู่
แนะนำเล่มนี้ไว้ “อ่านเล่น” ค่ะ พอจะเติมเชื้อไฟได้ในระดับที่ดี
ผู้เขียน: Elizabeth Gilbert
ผู้แปล: อาสยา ฐกัดกุล
สำนักพิมพ์: วีเลิร์น (WE LEARN)
ราคาปก : 250 บาท
__________________________________
รีวิวหนังสือ / Book Review / Creative Living / We Learn / Eat Pray Love / หนังสือพัฒนาตนเอง
Comments