ในขณะที่หลายๆ ประเทศเลือกที่จะปกป้องธรรมชาติ ด้วยการแยกคน แยกชุมชน กับธรรมชาติออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุผลของการ "อนุรักษ์"
กลับมีบางประเทศมีทั้งวิธีคิดและวิธีการต่อการ "อนุรักษ์" ที่ต่างออกไป และหนึ่งในนั้นก็คือประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย ดินแดนอันหนาวเหน็บ ที่เชื่อว่า การเข้าไปสัมผัสธรรมชาติให้มากที่สุดเท่าที่มากได้ตั้งแต่ยังเล็ก จะเป็นการปลูกจิตสำนึกที่หยั่งรากลึกให้มนุษย์ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติ จนนำไปสู่การอนุรักษ์อย่างยั่งยืน มากกว่าการเลือกที่จะกีดกันการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง
ถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะมาถกกันใหม่ ถึงนิยามของคำว่า แบบไหนที่เรียกว่า "รุกราน" แบบไหนที่เรียกว่า "อยู่ร่วม"
คุณอาจไม่เชื่อ ว่าในขณะที่เด็กไทย เติบโตขึ้นโดยรู้จักธรรมชาติน้อยลงเรื่อยๆ จนเกิดความกังวลว่า "โรคขาดธรรมชาติ" ของเด็กๆ อาจส่งผลถึงภาวะการเรียนรู้การมีปฏิสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ รอบตัว ไม่เพียงแค่ธรรมชาติ แต่ยังหมายรวมไปถึง สังคม และชุมชน
ดูเหมือนว่า ณ ตอนนี้ พวกเขารู้จักป่าเขาลำเนาไพร ในแง่ของพื้นที่ลึกลับจากคำบอกเล่ามากกว่ารู้จักด้วยตนเอง และหากเคยได้มีโอกาสไปสัมผัสอยู่บ้างก็เพียงแบบผิวเผิน
คุณไม่คิดว่ามันน่าเศร้าบ้างหรือ. ที่เรากำลังร้องขอให้ใครสักคนที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างไร้สายสัมพันธ์และความเข้าใจในธรรมชาติ ต้องมาตระหนักถึงภาระหน้าที่ ที่พวกเข้ากำลังจะมีในอนาคต ในแง่ของการเป็นส่งไม้ผลัดถัดไป ให้ "รักษา" ธรรมชาติ ในขณะที่สายสัมพันธ์ระหว่าง 2 สิ่งนี้ เริ่มเจือจางห่างไกลทางความรู้สึกและการรับรู้ของเด็กๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วคุณจะรู้สึกอย่างไรคะ หากรู้ว่า ในอีกซีกโลกนึง เด็กๆ ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย โดยเฉพาะสวีเดน ได้วิ่งเล่นในป่าทั้งใกล้และไกลบ้าน จนเป็นเรื่องปกติ พวกเขาได้ไปแคมปิ้งแทบทุกสุดสัปดาห์
เล่นปีนต้นไม้ เล่นซ่อนหา หรือว่านับมด ในป่าข้างโรงเรียน ทุกพักกลางวัน
และยังสามารถชวนกันไปเดินทางไกลในพื้นที่อนุรักษ์ได้ตามลำพังกับกลุ่มเด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน โดยไม่ต้องมีพ่อแม่ตามติด
นั่นเพราะ พวกเขามีสิ่งที่เรียกว่า "ความไว้เนื่อเชื่อใจในชุมชน ความไว้เนื้อเชื่อใจในเด็ก และความไว้เนื้อเชื่อใจในธรรมชาติ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน"
เด็กๆ ที่นี่ รักการสำรวจธรรมชาติ เฝ้าค้นหา และสังเกตสัตว์ตัวใหม่ๆ ทั้งเล็กใหญ่ที่พบเจอด้วยตนเอง พวกเขารู้วิธีหุงหาอาหารในป่า รู้วิธีก่อกองไฟ หาแหล่งน้ำ และป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้าย และประเมินความเสี่ยงด้วยตนเอง นี่ก็เพราะผู้ใหญ่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เรียนรู้ซ้ำๆ สม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการสอนลูกๆ ให้เตรียมตัวให้พร้อมในทุกๆ สถานการณ์ พวกเขาถูกสอนให้ไว้ใจธรรมชาติ และถูกสอนว่าธรรมชาติไว้ใจเรา ตราบใดที่เราไม่ไป "กระทำ" สิ่งที่ละเมิดสมดุลธรรมชาติก่อน
แน่นอนว่า เมื่อพวกเขาคุ้นชินกับสัมผัสความร่มเย็น และโอบกอดที่ธรรมชาติมอบให้ จิตสำนึกก็จะสร้างสัมพันธภาพที่แนบแน่น จนเกิดเป็นความรู้สึกรักและหวงแหนโดยอัตโนมัติ และสิ่งเหล่านี้ ล้วนมาจาก "เวลาและประสบการณ์" ทั้งสิ้น
เราไม่สามารถเร่งให้เด็กรักธรรมชาติอย่างลึกซึ้งได้ภายในวันเดียวหรอกค่ะ
โชคดีที่เด็กๆ ที่นี่ มีผู้ใหญ่ที่ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ และความสำคัญของสิทธิเด็กไปพร้อมกัน จนเกิดการพัฒนาเป็นแนวคิดที่ปฏิบัติร่วมกันอย่างเกื้อหนุนและกว้างขวาง
จนเกิดเป็นแนวคิดการเลี้ยงลูก แบบอิงแอบแนบชิดกับธรรมชาติ เพราะพวกเขาเชื่อว่า "เด็กๆ ทุกคนมีสิทธิในการเข้าถึงธรรมชาติโดยเสรี" และการปิดกั้นเด็กๆ จากการใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติในสังคมนี้ค่ะ
เปิดกว้างพอที่จะเข้าใจได้ว่า ...
การหยิบจับสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติเพื่อเล่น คือการเรียนรู้ ไม่ใช่การรุกราน
และการหยิบของจากในธรรมชาติกลับมาบ้านบ้างสำหรับเด็กๆ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
นี่มันเป็นเรื่องของการปลูกฝังจิตสำนึก ความเคยชิน รวมถึงการยอมรับว่า "มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ" เราต่างอยู่ร่วมกัน และจำเป็นต้องพึ่งพิงธรรมชาติอย่างไม่อาจแยกจากได้
เด็กๆ ที่นี่ รัก ธรรมชาติ อย่างเข้าใจ
ไม่ใช่เพราะ "กฎระเบียบ" เพราะ "ถูกสอนให้รักแบบฉับพลัน"
การเลี้ยงลูกให้เล่นกับธรรมชาติ ก็ว่าน่าสนใจแล้วใช่มั้ยคะ
พวกเขายังให้ความสำคัญกับการ "เลี้ยงลูกนอกบ้าน" อย่างจริงจังมากๆ ด้วยค่ะ
ถึงขนาดใช้วัด "สามัญสำนึกของการเป็นแม่ที่ดีพอ" สำหรับสังคมคนสวีเดนกันเลยทีเดียว
แม่ที่ "ดีพอ" คือแม่ที่พาลูกออกมา "ข้างนอก" อย่างพอเพียงค่ะ
แต่คำว่า "พอเพียง" ของพวกเขา มันออกจะมาจากมาตรวัดที่ต่างจากปกติสักหน่อยค่ะ
เพราะมันหมายถึง "มากที่สุดเท่าที่จะมากได้"
น่าสนใจว่า ในดินแดนที่มีแต่อากาศหนาว และฟ้าอึมครึม พวกเขากลับ พวกเสพติดการใช้ชีวิตเอาท์ดอร์จนน่าหวั่นใจ ราวกับมนุษย์จำเป็นต้องสังเคราะห์แสงเหมือนต้นไม้
ในขณะที่ดิฉันเอง กับเรื่องสภาพอากาศแล้ว มักเต็มไปด้วยข้ออ้างในการ "ไม่ออกไป" มากมายเต็มไปหมด
แดดร้อนหน่อย -ไม่ไปและ. ฝนตกเหรอ -โอเค งั้นอยู่บ้าน
แต่สำหรับคนสวีเดน คำแก้ตัวในการหยุดทำกิจกรรมหนึ่งๆ อาจจะมาด้วยเหตุผลอะไรก็ได้ อะไรก็ได้จริงๆ ค่ะ แต่ต้องไม่ใช่กับ "สภาพอากาศที่เลวร้าย"
ฝนตกหรือ ? -ฉันมีเสื้อกันฝนย่ะ หิมะตกหรือ -อ๋อ..ฉันก็มีทั้งชุดกันหนาว ชุดกันลม และชุดกันหิมะ ฉันจะใส่มันทั้งหมดนั่น และฉันจะใส่ให้ลูกฉันด้วย เราจะออกไปพร้อมกัน ไม่มีวันจะมาหยุดฉันจากการอยู่นอกบ้านได้เด็ดขาด!
น่าสงสัย...เพราะอะไรกันนะ?
หนังสือเล่มนี้ บอกกับเราว่า เพราะคนสวีเดนเชื่อว่า ถ้าอยากได้อากาศที่บริสุทธิ์ ให้ออกไปข้างนอกซะ!
"ยิ่งสูดอากาศบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งห่างไกลโรคมากขึ้นเท่านั้น" แนวคิดนี้ ทำให้พวกเขาเลือกที่จะใช้เวลาอยู่กับมัน (อากาศบริสุทธิ์) ให้นานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เท่าที่โอกาสจะอำนวย
ไม่เว้นแม้แต่ทารกวัยแบเบาะไม่ถึงขวบปี
ที่นี่มีวัฒนธรรมการ "พารถเข็นพร้อมลูกน้อยออกไปข้างนอกทุกวันเป็นกิจวัตร"
ยิ่งไปกว่านั้นคือการปล่อยให้ลูกน้อย "นอนกลางวันนอกบ้านคนเดียว" ซึ่งพบเห็นได้เป็นเรื่องปกติแทบทุกครัวเรือน แถมยังเห็นได้ในทุกสภาพอากาศอีกด้วย
ทั้งนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่า อากาศของนอกบ้าน บริสุทธิ์กว่าในบ้าน และจะช่วยให้ลูกเติบโตมาอย่างแข็งแรง และไม่ป่วยบ่อย. รวมถึงการสร้างนิสัยให้ลูกน้อยสามารถหลับได้แม้มีเสียงรบกวนจากธรรมชาติ เช่นเสียงลมพัดต้นไม้ เสียงนกร้อง หรือแม้กระทั่งเสียงคนเดินผ่านไปมา หากเด็กๆ สามารถนอนหลับไปอย่างต่อเนื่องในสภาวะนี้แล้ว ย่อมส่งผลให้เด็กหลับไปนานขึ้นในตอนกลางคืนอีกด้วย
วิธีนี้ ได้ผลดีกว่า การปล่อยให้นอนในห้องเงียบๆ ไร้เสียงรบกวน
ขอเพียงพ่อแม่เตรียมเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมเอาไว้ให้ลูกน้อยเท่านั้น ร่างกายของเด็กๆ จะปรับสภาพและคุ้นชินได้เอง
มีสุภาษิตของแถบสแกนดิเนเวียกว่าไว้ว่า
"ไม่มีสภาพอากาศที่ไม่ดีหรอก
มีแต่แต่งตัวไม่พร้อมเท่านั้น"
และนี่ ก็คือ ที่มาของชื่อหนังสือเล่มนี้ค่ะ
There is no such thing as bad weather
คนที่นี่จะไม่มองคุณเป็นแม่ที่บกพร่อง เพียงเพราะปล่อยลูกวิ่งเล่นอิสระในวันที่อากาศหนาวจัด
แต่คุณจะกลายเป็นเป้าทันที หากไม่อนุญาตให้ลูกออกไปเล่นข้างนอก เพียงเพราะ "คุณเองนั่นแหละที่ไม่เตรียมชุดมาให้พร้อมกับสภาพอากาศ"
เพราะในชีวิตจริง กับชีวิตที่ต้องดำเนินไป แม้แต่ในวัยผู้ใหญ่อย่างเรา
ประสบการณ์สอนเราว่า เราไม่อาจ ควบคุม สิ่งต่างๆ รอบตัวเราได้เลย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องหยุดใช้ชีวิตของเรา เพียงเพราะสิ่งต่างๆ ไม่เป็นใจ และไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่คิดว่ามันจะเป็น
จงเตรียมตัวให้พร้อมเสมอในทุกสภาพอากาศ
เหมือนคุณแม่สวีเดน เตรียมเครื่องแต่งกายของลูกไว้พร้อมเสมอ
แล้วออกไปใช้ชีวิตของเรากันค่ะ :)
ผู้เขียน: ลินดา ออเกอสัน แมคเกิร์ค
สำนักพิมพ์: SandClock Publishing
ราคาปก : 360 บาท
_________________________________
รีวิวหนังสือ / Book Review / หนังสือแม่และเด็ก / คู่มือการเลี้ยงลูก / สำนักพิมพ์ SandClock
Comments