มีผู้กล่าวไว้ว่า...
“พรสวรรค์มีค่าพอๆ กับเกลือนั่นแหละ
สิ่งที่แบ่งแยกระหว่างผู้มีพรสวรรค์กับผู้ที่ประสบความสำเร็จจริงๆ
คือความมุ่งมั่น และการฝึกฝนต่างหาก”
ถ้าความเก่งกาจ ไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์
แล้วคนเก่งมาจากไหน?
มีหนังสือชื่อดังหลายเล่ม เคยพยายามตอบข้อสงสัยนี้ด้วยงานวิจัยเชิงจิตวิทยามาแล้ว
ไม่ว่าจะเป็น The Outlier และ Grit
แต่เล่มนี้ ชูอีกประเด็น ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก จากใครที่ชื่นชอบสองเล่มนี้เป็นทุนเดิม
เราว่าคุณจะยิ่งชอบ The Talent Code
เปิดโลกขึ้นไปอีก เพราะเล่มนี้มีความพยายามแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กันระหว่างงานวิจัยทางจิตวิทยากับการงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่มีต่อกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า "พวก Talent"
เท่ากับเล่มนี้กำลังบอกเราว่า คนที่มีแนวโน้มประสบความสำเร็จ นั้น ไม่ใช่แค่มีจุดร่วมทางพฤติกรรมที่เหมือนกันเท่านั้น แต่เค้าเหมือนกันยันระดับเซลล์เยื่อหุ้มสมองเลยทีเดียวค่ะคุณ
และถ้าถามว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใครที่สุด
แน่นอนว่าใครอ่านก็ได้ ...ทุกคนที่อยากประสบความสำเร็จควรอ่าน
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า เราว่านี่คือหนังสือ MUST READ ที่ คนเป็น “ครู” หรือผู้ที่ตระหนักถึงการ “สร้างคน" ควรอ่านมากที่สุด เพราะหนังสือเล่มนี้ ตอกย้ำกับเราอยู่ตลอดทั้งเล่มว่า “ครูเก่งๆ แม้เพียงคนเดียวก็เปลี่ยนโลกของคนคนนึงได้”
มีครูเก่งๆ ก็เหมือนกับคีย์ลัด ที่ช่วยเร่งเครื่อง ร่นระยะเวลา และเปลี่ยนชีวิตเด็กธรรมดาๆ ทักษะพื้นๆ ให้กลายเป็นสุดยอดฝีมือราวกับร่ายมนต์
แล้วพวกเขาทำได้ยังไง ? นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่คำตอบง่ายๆ เลย เพราะแม้แต่สุดยอดครูเหล่านั้น หลายๆ คนก็อธิบายเทคนิคของเขาออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
“ผมก็แค่สอน...สอนในสิ่งที่ผมรู้”
เพราะฉะนั้น ทางเดียวที่จะเข้าถึงสุดยอดเคล็ดวิชาเหล่านี้ ก็คือการ “เฝ้าสังเกต” เหล่าปรมาจารย์ผู้ฝึกสอนเหล่านี้อย่างใกล้ชิด โดยเริ่มต้นจากการตามรอย “กลุ่มเด็กหัวกะทิ” ไปยังสถานที่เล่าเรียน เพื่อเข้าถึง “ครู” ของพวกเขา จนกระทั่งได้มาพบกับความจริงที่น่าทึ่งว่า “เด็กเหล่านี้ ไม่ได้ฉายแววหัวกะทิมาตั้งแต่ต้น แต่มีใครบางคนที่สามารถดึงศักยภาพของพวกเขาออกมาได้ ด้วยสุดยอดทักษะการฝึกสอน”
ในหนังสือเล่มนี้ Daniel Coyle นักเขียนชื่อดัง จะพาเราไปศึกษาคนเก่งระดับโลกในหลากหลายวงการ ไล่ตั้งแต่ดนตรี ศิลปะ กีฬา วิทยาศาสตร์ ไปจนถึงธุรกิจ โดยผ่านการวิเคราะห์ทางจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์ จนค้นพบว่าแท้จริงแล้วเบื้องหลังความเก่งของคนเหล่านั้น มีต้นกำเนิดมาจากปัจจัยเพียง 3 อย่างเท่านั้น และมันก็ไม่ได้ซับซ้อน เกินที่จะเลียนแบบ
ซึ่งถ้าหากเข้าใจปัจจัยเหล่านี้และนำไปปรับใช้ คนธรรมดาก็สามารถกลายเป็นคนเก่งระดับโลกได้เช่นกัน
แล้วปัจจัยทั้ง 3 อย่างนั้น มีอะไรบ้าง
คำตอบก็คือ 1.การฝึกฝนอย่างล้ำลึก 2. การจุดประกาย (หรือการบ่มเพาะความหลงใหลขั้นสุด การสร้างทัศนคติเชิงบวก) และ 3. การฝึกสอนระดับปรมาจารย์
และองค์ประกอบพื้นฐาน 3 อย่างนี้เอง ที่เป็นกลไกความเก่งกาจ
คือ กุญแจดอกสำคัญที่จะช่วยพัฒนาทักษะอันยอดเยี่ยมขึ้นมา หมายความว่า หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป กระบวนการพัฒนาทักษะก็จะชะลอตัว
ตรงกันข้าม หากเราสามารถผสมผสานองค์ประกอบทั้งสามเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์ แม้เพียงชั่วขณะไม่กี่นาที ความเปลี่ยนแปลงจะเริ่มปรากฎให้เห็นอย่างน่าอัศจรรย์ (ในตอนต้นเล่ม มีการยกเคสการเปลี่ยนเด็กหญิงที่ไร้พรสวรรค์ในการเล่นคาริเน็ต ให้พัฒนาทักษะแบบก้าวกระโดดภายในเวลาเพียง 5 นาที ด้วยการเปลี่ยนวิธีการฝึกเท่านั้น)
ในเล่มนี้ จะพยายามยกเคสเพื่อประกอบการแสดงถึงปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จของคนในสาขาอาชีพต่างๆ ผ่านการลงไปสำรวจการฝึกสอนและเรียนรู้ถึงแหล่งบ่มเพาะทักษะของเหล่าหัวกะทิ และค้นพบว่า ล้วนมีจุดร่วมบางอย่างที่เหมือนกันอย่างเหลือเชื่อ
ขณะเดียวกัน หนังสือเล่มนี้ ก็ยังพยายามนำเสนอข้อพิสูจน์ในแง่มุมของความเป็นวิทยาศาสตร์ร่วมด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่า กลไกการพัฒนาเยื่อหุ้มสมองมีความสัมพันธ์กับความเก่งกาจที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เราจะเห็นว่า สมองเป็นสิ่งที่ปรับแต่งได้ โดยมีช่วงเวลาที่สมองสามารถพัฒนาได้สูงสุด ซึ่งมันจะเติบโตได้มากน้อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ไปกระตุ้น
“พวกอัจฉริยะ” จึงไม่ได้มีเซลล์สมองชนิดพิเศษที่คนทั่วๆ ไปอย่างพวกเราไม่มีหรอกนะคะ
กลับมาที่เรื่อง ยอดฝีมือผู้สร้างหัวกระทิกันต่อ
จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องและแข็งขันของผู้เขียน ทำให้ค้นพบว่า สุดยอดครูมีบุคลิกลักษณะ (ซึ่งเป็นทักษะรูปแบบหนึ่ง) คล้ายๆ กันแทบทุกคนค่ะ คือ พวกเขามีวินัยและไม่เพ้อฝัน โดยมีความรู้กว้างไกล และลึกซึ้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนจำเป็นต่อการขัดเกลาทักษะของผู้อื่น
ขอยกตัวอย่างมาสักคนหนึ่งแล้วกันนะคะ คุณผู้เขียนเค้าได้ไปตามติดชีวิตสุดยอดโค้ชบาสระดับมหา’ลัยคนนึง ที่ขึ้นชื่อว่าปั้นเด็กเข้าลีกดังมาแล้วมากมาย โดยเริ่มจากการพยายามไปสัมภาษณ์โค้ชก่อน ว่าเฮ้ยโค้ช ยูมีเทคนิคอะไร ในการปั้นเด็กให้ประสบความสำเร็จเยอะแยะขนาดนี้ แถมอัตราการพ่ายแพ้ของทีมที่คุมอยู่ก็น้อยมากๆ ช่วยบอกหน่อยได้ไหม แต่ด้วยความที่โค้ชเป็นคนพูดน้อยเป็นปกติชีวิต ก็เลยไม่ได้ข้อมูลอะไร เขาจึงเปลี่ยนวิธีใหม่ เป็นการเดินทางมาเฝ้าสังเกตการฝึกสอนของโค้ชอยู่หลายเดือน และเก็บข้อมูล ทุกคำพูด ทุกอากัปกิริยา
เขาจดบันทึกคำพูดของโค้ชในการฝึกสอนเอาไว้อย่างละเอียด และพบว่าสามารถแบ่งออกได้เป็น 2326 รูปแบบ จุดที่น่าสนใจก็คือ ในจำนวนนี้มีคำชมเชยอยู่เพียง 6.9% และมีคำตำหนิเพียง 6.6% ในขณะที่อีก 75% เป็นข้อมูลล้วนๆ ซึ่งบอกว่าต้องทำอะไร อย่างไร และควรเพิ่มความหนักหน่วงของสิ่งที่ตนทำตอนไหน โดยรูปแบบที่โค้ชบาสคนนี้ใช้บ่อยที่สุด คือ การสาธิต 3 ขั้น โดยเขาจะสาธิตวิธีที่ถูกต้องให้ดูเป็นตัวอย่าง แสดงให้เห็นวิธีที่ผิด และทำให้ดูว่าต้องปรับเปลี่ยนตอนไหน การสาธิตของเขาไม่เคยใช้เวลาเกิน 3 วินาที แต่มันก็ชัดเจนอย่างมากจนผู้เล่นจำได้ขึ้นใจ
จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ทำให้เขาเป็นสุดยอดโค้ช ไม่ใช่การชมเชย การตำหนิ หรือการพูดเรียกขวัญกำลังใจลูกศิษย์ แต่เป็นการระดมยิงข้อมูลที่ชัดเจนใส่ราวกับปืนกลต่างหาก โดยใช้ทั้งคำพูด และสีหน้าท่าทางอย่างเฉียบคมเพื่อสาธิตสิ่งที่พึงปรารถนา ชัดๆ เน้นๆ Get to the point!
ทักษะที่โดดเด่นของโค้ชคือการเล็งเห็นและแก้ไขข้อผิดพลาด เพราะเขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกฝนอย่างล้ำลึกนั่นเอง แม้เขาจะไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่เขาทำอยู่เรียกว่าอะไรก็ตาม
เขาสร้างกฎแห่งการเรียนรู้ขึ้นมา ซึ่งประกอบด้วย การอธิบาย การสาธิต การเลียนแบบ การแก้ไข และการทำซ้ำ เขาเคยเขียนไว้ในหนังสือของตัวเองด้วยค่ะว่า อย่าคาดหวังว่าจะมีพัฒนาการก้าวกระโดดแบบทันตาเห็น แต่ให้มุ่งมั่นปรับปรุงทักษะไปทีละน้อยทุกๆ วัน เพราะนั่นเป็นหนทางเดียวในการบ่มเพาะทักษะที่จะอยู่กับเราอย่างคงทนถาวร
“การทำอะไรบางอย่างซ้ำๆ จนกระทั่งเราทำสิ่งนั้นได้โดยอัตโนมัติเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้”
นี่ขนาด แค่ยกตัวอย่าง เทคนิคของครูเก่งๆ มาคนเดียวนะคะ ในเล่มนี้ยังมี ครูเก่งๆ อีกหลายคน ที่มีเทคนิคการสอนเฉพาะตัวที่ไม่ธรรมดา รวมทั้งยังมีการพูดถึง “สภาพแวดล้อม” ที่เอื้อต่อการบ่มเพาะหัวกะทิอีกด้วย คุณต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่า ประเทศที่มีนักเทนนิสเก่งๆ ส่งเข้าสังเวียนโลกไม่ขาดสายอย่าง รัสเซีย ฝึกซ้อมในคอร์ทเก่าที่ใครเห็นก็ว่าร้าง แถมยังต้องต่อแถวฝึกซ้อมเพราะคอร์ทมีน้อย แถมต้องซ้อมตีแบบไม่มีลูกซะด้วย แต่ก็ยังสร้างนักเทนนิสติด Ranking ระดับโลกอยู่ไม่ขาดสาย ในขณะที่ “สนามฟุตซอล” คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้บราซิลมีนักฟุตบอลสุดยอดฝีมือมากที่สุด! และยังมีความลับของสุดยอดฝีมือ ที่เริ่มต้นจากคนพื้นๆ อีกมาก ซุกซ่อนอยู่ในเล่มนี้ ไปหาอ่านกันค่ะ สนุกมาก!
______________________
ผู้เขียน : Daniel Coyle
ผู้แปล : พรเลิศ อิฐฐ์, วิโรจน์ ภัทรทีปกร
สำนักพิมพ์ : วีเลิร์น (WE LEARN)
ราคาปก : 250 บาท
______________________________________________________________
รีวิวหนังสือ / Book Review / หนังสือจิตวิทยา / หนังสือพัฒนาตนเอง / สำนักพิมพ์วีเลิร์น
Commentaires